วันอังคารที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2559

วิธีเปิดบอล



          จริงๆแล้ว ในการเล่นฟุตบอลยุคนี้ ให้ความสำคัญกับการเล่นฟุตบอลแบบภาคพื้นดิน คือการต่อบอลสั้น หรือสั้นสลับยาว เพื่อเน้นการครอบครองบอลและสร้างจังหวะไปเรื่อยๆ จนจบด้วยการทำประตู  แต่การเปิดบอล เป็นวิธีการเล่นที่อาจใช้เพียง 1 หรือ 2 จังหวะ แล้วสามารถจบด้วยการทำประตูได้เลย .. ซึ่งหัวใจหลักของมันคือ ความแม่นยำของ " น้ำหนัก และทิศทาง " ฉะนั้น หากในทีมของเรามีนักฟุตบอลประเภท เปิดบอลเก่งๆ หรือเท้าชั่งทอง มันก็จะเป็นอีกอาวุธลับหนึ่งของทีม ในการโจมตีแนวรับของทีมคู่ต่อสู้ได้ แต่ปัญหาก็คือ หากเราเป็นนักฟุตบอลที่เปิดบอลไม่แม่น แต่ชอบเปิดบอล มันก็เหมือนการหยิบหอกให้ข้าศึก พุ่งกับมาทิ่มแทงตัวของเราเอง

การแปล





              ทักษะการรับส่งลูก ในเกมกีฬาฟุตบอลนั้น มีความสำคัญอย่างมาก การฝึกซ้อมของนักฟุตบอล ตั้งแต่ระดับยุวชน จนถึงระดับอาชีพ การรับส่งลูกบอล คือปัจจัยหลักในการสร้างความสัมพันธ์หรือทีมเวิร์ก ระหว่างนักเตะภายในทีม 
และทักษะที่ใช้มากที่สุดในการแข่งขัน จากการแข่งขันฟุตบอลแทบทุกคู่และทุกนัด คือ ทักษะ การแปบอล ( Passing Skill ) ยกตัวอย่าง  โอกาสยิงทำประตู เตะมุม หลบหลีก สกัดกั้น ลูกโหม่ง ฯลฯ ของ นักฟุตบอลแต่ละคนนั้น ใน 1 นัด การแข่งขัน มีโอกาสได้ใช้ทักษะดังกล่าวเพียงไม่กี่ครั้ง ในเกมการแข่งขัน  หากแต่  การรับส่งบอล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การแปบอล ส่งให้กับเพื่อนร่วมทีมนั้น นับครั้งไม่ถ้วน  อีกทั้งฟุตบอลสมัยใหม่ เน้นการเล่นในแบบฉบับ เน้นการครอบครองบอล รับส่งใกล้ๆ ทักษะการแปบอลจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่นักเตะทุกคนจะมอง

สนาม


        สนามฟุตบอล ไม่ได้มีการกำหนดขนาดไว้แบบตรง ๆ เนื่องจากในพื้นที่แต่ละสนาม อาจมีพื้นที่ไม่เท่ากัน แต่ได้มีการกำหนดด้านยาว กว้างประมาณ 100-130 หลา ส่วนด้านกว้าง กว้างประมาณ 50-100 หลา โดยแบ่งเขตแดนออกเป็น 2 ฝั่ง อย่างละเท่า ๆ กัน มี ประตูขนาดกว้าง 8 หลา สูง 8 ฟุต มีเขตโทษ ซึ่งนับห่างจากโกล ห่าง 18 หลา ส่วนพื้นสนามฟุตบอล ใช้หญ้าแท้หรือหญ้าเทียมก็ได้




กติกาการเล่น





เวลาในการแข่งขัน

   การแข่งขันแบ่งออกเป็น 2 ครึ่ง ครึ่งละ 45 นาที โดยทั้ง 2 ฝั่งมีหน้าที่ยิงประตูฝั่งตรงข้ามให้ได้มากกว่า ทั้งนี้ หากเสมอกันในการแข่งขันฟุตบอลรายการแพ้คัดออก จะต่อเวลาเพิ่มอีกครึ่งละ 15 นาที รวม 2 ครึ่ง 30 นาทีด้วยกัน และถ้าหากยังตัดสินผู้ชนะไม่ได้ ก็จะดวลจุดโทษตัดสินฝั่งละ 5 ลูก ซึ่งถ้าหากตัดสินไม่ได้อีก ก็จะยิงทีละ 1 ต่อ 1 คือ หากใครยิงพลาด และอีกฝ่ายยิงได้ ก็เกมจบทันที อย่างไรก็ตาม เมื่อยิงครบ 11 คนแล้วตัดสินผู้ชนะไม่ได้ ก็จะวนกลับมายิงใหม่ที่คนแรก ไปเรื่อย ๆ


การผิดกติกา 

  ก็มี การที่ไม่ใช่ผู้รักษาประตูแล้วใช้มือเล่น หรือ การพยายามขัดขวางการเล่นของฝั่งตรงข้าม เช่น ชน กระแทก ผู้เล่นที่มีบอล ก็คือว่าเป็นการฟาล์ว และฝ่ายที่ถูกทำฟาล์ว ก็จะได้ลูกตั้งเตะ แต่ถ้าฝ่ายบุกถูกทำฟาล์วในเขตโทษของฝ่ายรับ ก็จะเป็นลูกจุดโทษ ที่ฝ่ายบุกจะได้โอกาสยิงแบบ 1 ต่อ 1 กับผู้รักษาประตูฝ่ายรับ

กรณีที่ฟุตบอลออกข้าง 
  ฝ่ายที่ไม่ได้ทำให้ออกข้างจะเป็นฝ่ายได้ทุ่ม ส่วนกรณีบอลออกหลัง ถ้าเป็นฝ่ายเจ้าของแดนทำออกหลังเอง ฝ่ายที่เดินหน้าบุก จะได้เตะมุมเข้ามา แต่ถ้าเป็นฝ่ายบุกที่ทำออก จะเป็นลูกตั้งเตะจากประตู

ใบเหลือง-ใบแดง 
  จะแจกก็ต่อเมื่อมีผู้เล่นที่ทำผิดกติกา ในลักษณะที่รุนแรง หรือ การถ่วงเวลา ผู้ตัดสินก็จะให้ใบเหลืองแก่คนที่ผิดกติกา ส่วนใบแดง ผู้ตัดสินจะให้ก็ต่อเมื่อ มีการทำฟาล์วที่รุนแรงมาก เช่น ทำให้ได้รับบาดเจ็บหนัก หรือ เล่นอันตรายอย่างการเปิดปุ่มสตั๊ดไปที่ขาของฝ่ายตรงข้าม เป็นต้น นอกจากนี้ การได้ใบแดง จะมีอีกกรณีหนึ่งคือ การทำฟาล์วแบบไม่รุนแรง แต่ฟาล์วขณะที่ฝั่งตรงข้ามกำลังจะทำประตูได้ ก็ได้รับใบแดงเช่นกัน

การล้ำหน้า
  การจ่ายบอลไปยังผู้เล่นที่ยืนอยู่สูงกว่าผู้เล่นฝั่งตรงข้ามในลำดับรองสุดท้าย

ประวัติฟุตบอล

             

           สำหรับกีฬาฟุตบอลในประเทศไทย เริ่มเข้ามาในยุคพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 โดยมีเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรีนำเข้ามา จากการไปเรียนที่ต่างประเทศ ซึ่งใน พ.ศ. 2443 มีการแข่งขันฟุตบอลเป็นครั้งแรกระหว่างทีมชุดบางกอก กับชุดกรมศึกษาธิการ ที่สนามหลวง ปรากฎว่าเสมอกัน 2-2

         
ต่อมาในยุคสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 พระองค์ทรงสนใจกีฬาฟุตบอลอย่างมาก มีทีมฟุตบอลส่วนพระองค์ คือ ทีมเสือป่า และมีการเผยแพร่ข่าวสาร การเล่น เกี่ยวกับฟุตบอลอย่างแพร่หลาย นอกจากนี้ สมาคมฟุตบอลแห่งสยาม ถูกก่อตั้งขึ้นเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2459 อีกด้วย